โลกยุคหลังสมัยใหม่ (Post Modern)
แนวคิดหลังยุคนวนิยม
แนวคิดหลังยุคนวนิยม(อังกฤษ:
Postmodernism) บางทีใช้คำว่าหลังสมัยใหม่
หรือแนวคิดหลังสมัยใหม่ เป็นแนวคิดทางการเมือง ปรัชญา วัฒนธรรม สังคม ดนตรี และอื่น
ๆ ที่ก่อตัวขึ้นโดยมีมุมมองที่ต่างออกไปจากมุมมองทางความคิดแบบเดิม ๆ ของโลก ไม่ว่าจะแนวคิดลัทธิก่อนสมัยใหม่
หรือแนวคิดลัทธิสมัยใหม่ แนวคิดหลังสมัยใหม่ถูกจัดเข้ารวมกับทฤษฎีสายวิพากษ์ (Critical
Theory/Critical Scholar)
การกำเนิดของแนวคิดหลังสมัยใหม่
ในช่วงปลายสมัยใหม่ของภูมิปัญญาตะวันตก
มีความเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อความทันสมัย
บางครั้งก็เรียกรวมๆว่าความคิดแบบสมัยใหม่นิยม (modernism)
กล่าวได้ว่าความคิดทันสมัยมีรากเหง้ามาจากทฤษฎีความคิดในยุคภูมิปัญญา
(enlightenment) นักคิด นักปรัชญาการเมืองในยุคสมัยใหม่แข่งขันกันนำเสนอวิสัยทัศน์ที่เกี่ยวกับชีวิตที่ดี
สังคมที่ดี ที่สำคัญคือ แนวคิดเสรีนิยม (liberalism) ที่เห็นว่าปัจเจกบุคคลต้องสละประโยชน์ส่วนตัว
หาทางสร้างระบบการเมืองเสรีประชาธิปไตยขึ้นมารองรับ กับแนวคิดมาร์กซิสม์
ที่ต่างต้องการสร้างโลกใหม่ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้การขูดรีดจากระบบทุนนิยม
ความเชื่อในยุคสมัยใหม่กล่าวได้ว่ามีศรัทธาแรงกล้าต่อความก้าวหน้า (idea of
progress) การที่สังคมมีหลักพื้นฐานอันประกอบด้วยสัจจะ ค่านิยมหลัก
และความเชื่อมั่นเรื่องสังคมก้าวหน้ารวมเรียกกันว่าแนวคิดสถาปนานิยม (foundationism)
ที่พยายามสถาปนาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวให้เกิดขึ้นในสังคมผ่านการสร้างค่านิยม,
ความเชื่อต่างๆขึ้นมาครอบครองความคิดมนุษย์ในสังคม
ในเวลาต่อมาจึงเกิดความคิดหลังสมัยใหม่
(postmodern) ที่เสนอให้ปฏิเสธความแน่นอน
หนึ่งเดียว นักคิดหลังสมัยใหม่ ปฏิเสธเรื่องสัจจะสมบูรณ์สูงสุดเป็นสากล
โดยเห็นว่าเป็นเพียงการโอ้อวด แต่เสนอว่าไม่มีศูนย์กลางความเป็นหนึ่งเดียว
และสังคมดำรงอยู่อย่างแตกต่างหลากหลาย (diversity) ความ
คิดและแนวคิดใดๆทั้งหมดเป็นเรื่องที่ได้รับการแสดงออกในรูปภาษาโดยที่ภาษา
หรือการใช้ภาษาสื่อความหมายนั้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทาง
อำนาจอันซับซ้อน
ดังนั้นปรัชญาและทฤษฎีการเมืองจึงมิอาจอยู่เหนือ
หรือตัดขาดจากความสัมพันธ์ทางอำนาจ
เช่นกันกับมิอาจให้ความรู้ความเข้าใจได้ด้วยการเป็นกลางไม่โอนเอียง
ทฤษฎีการเมืองหรือสัจจะหรือความรู้ใดๆเป็นส่วนหนึ่งโดยนัยของความสัมพันธ์
ทางอำนาจที่นักวิชาการกำลังวิเคราะห์อยู่
นักคิดหลังสมัยใหม่จึงมีลักษณะตั้งข้อกังขาอย่างไม่ลดละต่อสภาพความเป็นจริง
ใดๆที่ดูหนักแน่นสมบูรณ์
และความเชื่อต่างๆที่พากันยึดถืออย่างไม่ลืมหูลืม
สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้กล่าวกันว่าได้ก้าวเข้าสู่ยุคหลังสมัยใหม่
(postmodern era) คือความคิดที่ว่าสิ่งที่เป็นจริง
(the real) กับสิ่งที่ปรากฏ (apparent) นั้นอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ซึ่งเป็นความคิดของฟรีดริช นิทซ์เชอ (Friedrich
Wilhelm Nietzsche) ซึ่งความคิดดังกล่าวเข้าไปมีอิทธิพลในวงการศิลปะในช่วงทศวรรษที่
1920 กล่าวได้ว่าแนวคิดหลังสมัยใหม่ (postmodern) คือการเคลื่อนไหวทางความคิดและวัฒนธรรมที่ต่อต้านนิยาม, ความเชื่อ, ค่านิยม, จารีต,
ประเพณีฯลฯ อาทิองค์รวม (totality), ความเป็นเหตุเป็นผล
(rationality), ความเป็นสากล(universality), ความเป็นวัตถุวิสัย (objectivity) ฯลฯ
ซึ่งนักคิดหลังสมัยใหม่จะตั้งคำถามต่อสิ่งเหล่านี้ในฐานะที่ต่างเป็นเพียง “เรื่องเล่าหลัก (meta-narrative)” ที่เกิดขึ้นมาจากข้ออ้างของความเป็นสมัยใหม่
(modernity) ของแนวคิดสมัยใหม่ (modernism)
จากการศึกษาวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมตะวันตก
พอจะได้ภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติทั่วไปว่า
สังคมโลกตะวันตกเป็นสังคมที่เจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ
เทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์เป็นสังคมที่ผ่านพ้นความเจริญสูงสุดหรือผ่านเลยสังคมอุตสาหกรรมไปแล้ว
(Postmodern society or postindustrial
society) ผู้คนในยุคนี้หนักไปในการเสพบริโภคใช้สอย ที่เรียกกันว่า
สังคมบริโภค (Consumer society) ภูมิหลังทางวัฒนธรรม เป็นสังคมที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระเจ้า
เชื่อศรัทธาในเรื่องเทพเจ้า ในสากลโลกนี้
มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งทรงพลานุภาพสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด
ทรงสร้างสรรค์สรรพสิ่งทุกอย่าง ทรงกำหนดลิขิตบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างตามอำนาจของตน
ทรงเอาพระทัยใส่ใจดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปด้วยดี
สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้รู้จักกับพระองค์ท่าน
มนุษย์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามหลักคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน
เพื่อให้พระองค์ท่านโปรดปราน ตายไปแล้วไปอยู่กับพระองค์ท่านในสวรรค์ตลอดกาล
ผู้ที่ไม่เคารพศรัทธายำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า
ตายไปแล้วดวงวิญญาณของเขาก็จะไปอยู่ในนรกตลอดกาลเช่นกัน
แนวคิดและการปฏิบัติในลักษณะนี้ยังมีอิทธิพลแพร่กระจายครอบคลุมไปทั่วสังคม
แม้ว่าสังคมตะวันตกเจริญพัฒนาถึงจุดสูงสุด พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุ
แทนที่จะสุขสมหวังกับความพรั่งพร้อมสมบูรณ์นั้น
แต่กลับผิดหวังหาคุณค่าความหมายของชีวิตไม่ได้เหมือนเดิม
กลับสร้างปัญหาก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมมากกว่าเดิม
เพราะขาดแคลนแร้นแค้นวัฒนธรรมทางจิต เกิดวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรมทางจิตอยู่เสมอ
สับสนสงสัยไม่รู้เข้าใจในความจริงของชีวิตและหลักการดำเนินชีวิตอย่างต่อเนื่อง
พยายามสนใจใฝ่รู้ในเรื่องความเป็นมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ และลักษณะมนุษย์ (General sense of humanity, human qualities and identities) ไม่หยุดยั้งแม้แต่ในปัจจุบัน แม้วิทยาการตะวันตกเป็นแม่แบบแพร่กระจายไปทุกวงวิชาการทั่วโลก
ความจริง
ความรู้ที่เจริญถึงจุดสูงสุดแบบตะวันตกก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาชีวิตทางสังคมได้
จึงสำคัญจำเป็นต้องกลับมาคิดทบทวนกระบวนการความคิดและองค์ความรู้ต่างๆ
ทั้งหลายกันใหม่ บนพื้นฐานความจริงสมัยใหม่ทันสมัย
ในคริสต์ศตวรรษที่
20 (ปรากฏแพร่หลายชัดเจน 1970s) ในสังคมโลกตะวันตก เพื่อความเจริญถูกต้องดีงามของชีวิตและสังคม
เกิดมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาแนวคิดทางสังคม เป็นการตีความอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้น
อันนำไปสู่การแตกทำลายหรือมาแทนความคิดสมัยใหม่(Modernism) ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสมัยใหม่ทันสมัยและหลังสมัยใหม่
เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นในวิทยาการความรู้ที่มีอยู่
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาชีวิตทางสังคมได้อย่างแท้จริง
จึงเกิดแนวความคิดทางสังคมตามภาพที่ปรากฏจริงอีกครั้งหนึ่ง ที่เรียกว่า
ความคิดหลังสมัยใหม่ทันสมัย (Postmodernism) อันหมายถึง
กระบวนการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรม ศิลปะ วิทยาการทั้งหลาย ความคิดทฤษฎีทางสังคม
เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ความเชื่อและการปฏิบัติ รูปแบบชีวิต
หลักการดำเนินชีวิต และเรื่องอื่นๆ ทั้งหลาย
ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมอย่างต่อเนื่องทั้งหมด
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว
สังคมปัจจุบันเจริญพัฒนาด้านวัตถุถึงจุดสูงสุด
ติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกรวดเร็วทางอินเตอร์เน็ต เห็นทั้งภาพและได้ยินทั้งเสียง
ต้องการอะไรก็กดปุ่มเอาตามใจปรารถนา จะไปไหนมาไหน
จะทำงานหรือเรียนอะไร จะติดต่ออะไร จะฝากเงินถอนเงิน จะซักผ้ารีดผ้า
จะกินจะดื่มอะไรก็กดปุ่มเอา เป็นยุคดิจิตอล และกดปุ่ม (Digital and push button age) สะดวกสบายพรั่งพร้อมไปทุกอย่าง
แทนที่จะมีความสุขแต่กลับทุกข์เป็นปัญหา
แทนที่จะรู้เข้าใจปัญหาที่มีอยู่แต่กลับตอบไม่ได้
ปัญหาที่มีอยู่กลับทวีความรุนแรงหนักเข้าไปอีก ทำให้เขาผิดหวังมาก พยายามหาทางแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
พยายามคิดกันใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าต่อเนื่อง
ใน
โลกแห่งความเป็นจริง
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่รู้เข้าใจอย่างชัดเจน
เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างของเก่ากับใหม่ไม่หยุดยั้ง
ชักจูงนำพาสิ่งที่มีอยู่ไปสู่ความจริงขั้นต่อไป
มนุษย์ก็พยายามที่จะตามรู้ความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
เพราะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่ดีไม่ถูกต้องและไม่มีผลใน
การปฏิบัติ
เป็นการศึกษาเรียนรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
เป็นเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติคุณค่าและรูปแบบพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตาม
วิวัฒนาการทางโลกสังคม
อันแสดงให้เห็นว่า
วิทยาการความรู้บางอย่างที่มีอยู่ยังไม่เป็นความจริงถูกต้อง
จึงจำเป็นต้องพยายามแสวงหาความจริงกันต่อไป ในศตวรรษที่ 21 (คือเริ่มตั้งแต่ 2001)
นักคิดทางสังคมทั้งหลายจึงพากันคิดและเก็งกระบวนการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของโลกสังคมจะเป็นไปในทิศทางใด
จะเกิดปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างไรกันต่อไป
http://th.wikipedia.org/wiki/แนวคิดหลังยุคนวนิยม
http://www.mbu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=3226&Itemid=148&limit=1&limitstart=4
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น